วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย

เล่มที่ 4 ฉบับที่ 1 – กรกฎาคม 2025


ข่าวประเสริฐอื่น: ภัยคุกคามของลัทธิเทียมเท็จ หรือนอกรีตทางคริสตศานสาตร์ในขบวนการไทยสมัยใหม่

วันที่: 1 กรกฎาคม 2025

โดย: ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (ศาสตราจารย์ประจำสาขาศาสนศึกษาและศาสนศาตร์มิชชัน) กรรมาธิการศาสนศาสตร์และคำสอน ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และ ของสหกิจฯ เอเชีย Asia Evangelical Alliance

บทคัดย่อ

บทความนี้ได้เสนอว่าการบิดเบือนทางด้านศาสนศาสตร์พระเยซูคริสต์ เช่น ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) และ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) ที่แพร่หลายภายในการเคลื่อนไหวหลายแห่งในประเทศไทย เป็น “ข่าวประเสริฐอื่น” ดังที่อัครทูตเปาโลได้เตือนไว้ในพระธรรมกาลาเทีย บทที่ 1 ข้อ 6 ถึง 9 บทความนี้ยังอ้างอิงพระคัมภีร์ สภาคริสตจักรสากล (Church Councils) กับ บทบัญญัติแห่งความเชื่อ (Creeds) ในคริสตจักรยุคแรก ศาสนศาสตร์การปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant Reformation theology) และ นักศาสนศาสตร์โปรเทสแตนท์ (Protestant theologians) เพื่อโต้แย้งว่าคำสอนนอกรีด (Heresy) เหล่านี้ได้นำเสนอพระลักษณะบุคคลของพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ในรูปแบบที่ผิดเพี้ยน ซึ่งส่งผลให้ข่าวประเสริฐถูกบั่นทอน นอกจากนั้น บทความนี้ยังเสนอว่าการยึดมั่นในความเป็นพระบุตรนิรันดร์ (The eternal Sonship) ความเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ (Full deity) และ ความเท่าเทียมกันของพระคริสต์ (Coequality of Christ) เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับข่าวประเสริฐที่ช่วยให้รอดได้ และ มีเพียงพระคริสต์ที่แท้จริงเท่านั้น คือผู้ที่เป็นพระเจ้าสมบูรณ์ เท่าเทียมกับพระบิดา และ ลงมาบังเกิดเพื่อไถ่บาปของเรา จึงจะสามารถแบกรับความบาป พิชิตความตาย และ การนำคนบาปกลับคืนดีกับพระเจ้าได้

คำเตือนของอัครทูต และ ความครบถ้วนบริบูรณ์ของข่าวประเสริฐ

ในพระธรรมกาลาเทีย บทที่ 1 ข้อ 6 ถึง 9 อัครทูตเปาโลได้ตำหนิชาวกาลาเทียที่หันเหไปสู่ “ข่าวประเสริฐอื่น” โดยท่านเตือนว่า แม้แต่ทูตสวรรค์เอง ถ้าประกาศสั่งสอนสิ่งที่ขัดกับข่าวประเสริฐแท้ ก็จะต้อง “ถูกแช่งสาป” (ข้อ 8) แม้ว่าบริบทโดยตรงของพระธรรมตอนนี้จะเกี่ยวกับ ความเชื่อที่เน้นการประพฤติตามธรรมบัญญัติ/กฏเกณฑ์ทางศาสนา (Legalism) แต่หลักการของพระธรรมตอนนี้มีความหมายที่กว้างกว่านั้น กล่าวคือ การบิดเบือนพระลักษณะบุคคลหรือพระราชกิจของพระคริสต์ ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม นับว่าการบิดเบือนข่าวประเสริฐ ดังนั้นขบวนการฟื้นฟูในยุคปัจจุบันใดที่ส่งเสริม ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) และ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) ไม่ถูกนับเป็นความคาดเคลื่อนทางศาสนศาสตร์ แต่เป็น การหันเหอันนอกรีดที่ถูกประณามโดยอัครทูต

ในแนวทางของความเชื่อคริสเตียนที่ถูกต้องดั้งเดิมตามหลักการทางประวัติศาสตร์ การปฎิเสธความผิดเพี้ยนทางศาสนศาสตร์พระคริสต์ อาทิ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์เชิงภววิทยา (Ontological Subordinationism) ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) และ ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) ไม่ใช่การปรับปรุงทางศาสนศาสตร์แต่เป็นเรื่องของความครบถ้วนบริบูรณ์ของข่าวประเสริฐ ดังที่ ศาสตราจารย์ Robert Letham ศิษยาภิบาลและนักศาสนศาสตร์เพรสไบทีเรียนชาวอังกฤษ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านศาสนศาสตร์ระบบและประวัติศาสตร์ที่ Union School of Theology (เดิมชื่อ Wales Evangelical School of Theology) และศาสตราจารย์พิเศษที่ Westminster Theological Seminary ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับการปฎิเสธความสมบูรณ์ และความเป็นนิรันดร์ของความเป็นพระเจ้าของพระบุตรส่งกระทบอย่างมาก ว่า “แนวคิดทั้งสองนี้ (ซับออร์ดิเนชัน หรือ เอมาเนชัน) ได้ทำลายข่าวประเสริฐ เพราะพระคริสต์ที่ด้อยกว่าพระบิดาไม่สามารถสำแดงพระเจ้าหรือช่วยกู้ประชากรของพระองค์ได้” (Letham, 2015, p. 110)

ถ้อยแถลงอันเฉียบคมนี้ได้จับประเด็นที่เป็นศูนย์กลางของความอันตรายทางศาสนศาสตร์ กล่าวได้ว่า หากพระคริสต์ทรงเป็นรองพระบิดาในเชิงภววิทยา หรือ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ด้อยกว่า พระองค์ก็ไม่สามารถเป็นผู้สำแดงพระเจ้าที่แท้จริงและไม่สามารถเป็นพระผู้ไถ่ที่สามารถทำให้ความรอดสำเร็จได้ ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) หรือ การที่พระเยซูกลายเป็นพระบุตร ณ จุดเวลาหนึ่ง และ ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) ซึ่งปฎิเสธความแตกต่างของพระบุคคลของพระเจ้าในเวลาเดียวกันนั้น ต่างบิดเบือนพระบุคคลของพระคริสต์ และ นำเสนอ ข่าวประเสริฐที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากที่ประกาศไว้ในพระคัมภีร์ ดังนั้น การบิดเบือนธรรมชาติของพระคริสต์ได้ลดทอนรากฐานที่ซึ่งคนบาปได้รับการชำระให้ชอบธรรม/การนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยทางความเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริง เป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ (Divine) และ เพียงพอ

ในพระธรรมกาลาเทีย บทที่ 3 ข้อ 1 ถึง 5 อัครทูตเปาโลถามเชิงวาทศิลป์ว่า “ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือได้รับโดยความเชื่อตามที่ได้ฟัง?” ท่านเน้นย้ำว่าชาวกาลาเทียเริ่มต้นชีวิตคริสเตียนด้วยการเชื่อในพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนที่ได้ประกาศให้พวกเขาฟัง ไม่ใช่ด้วยการกระทำหรือพิธีกรรม ถ้าพระคริสต์ที่ได้ประกาศนั้นเป็นพระคริสต์ปลอม ซึ่งคือ อยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงภววิทยา เป็นเพียงมนุษย์ หรือ ไปตามแนวคิดแบบโมดัลลิสติก (Modalistic) แล้ว ผู้ที่พวกเขาเชื่อก็ไม่ใช่พระคริสต์ที่แท้จริง และ วิญญาณที่ได้รับก็ไม่ใช่พระวิญญาณของพระเจ้าที่แท้จริง แต่เป็นการหลอกหลวงที่เกิดจากความผิดเพี้ยน การได้รับการชำระให้ชอบธรรม/การนับเป็นผู้ชอบธรรม (Justification) ก็จะพังทลายลง ไม่ใช่ลงสู่พระคุณ แต่ลงสู่การบูชารูปเคารพ

ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) พระบุคคลเดียว สามรูปแบบ สามการสำแดง หรือ สามลักษณะ

ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ศาสนศาสตร์วันเนส (Oneness theology) หรือ ขบวนการพระเยซูเท่านั้น (Jesus-Only movement) โดยลัทธินี้อ้างว่าพระเจ้าทรงมีเพียงพระบุคคลเดียว ปรากฏในรูปแบบ (Mode) การสำแดง หรือ ลักษณะ ที่แตกต่างกัน (ในฐานะพระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณบริสุทธิ์) แทนที่การดำรงอยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ในฐานะสามพระบุคคลที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน ศาสนศาสตร์ประเภทนี้มักใช้ภาษาที่คล้ายคลึงกับการแสดงออกของความเชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพที่ถูกต้องดั้งเดิม (Orthodox Trinitarian expressions) อาทิ “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าสมบูรณ์ และ มนุษย์สมบูรณ์” หรือ “เราเชื่อในพระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณ” หากฟังแบบผิวเผินแล้วมักดูเหมือนจะเป็นไปตามหลักการของพระคัมภีร์ แต่หากได้พิจารณาเชิงศาสนศาสตร์อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น คำแถลงเหล่านั้นสะท้อนการตีความแบบโมดัลลิสท์ (Modalist) มากกว่าการตีความแบบตรีเอกานุภาพอย่างแท้จริง โดยลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) นี้ได้ถูกประนามอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่สาม โดยปิตาจารย์ทูทิวเลียน (Tertullian, 1920, p. 25) ซึ่งได้ปกป้องความแตกต่างส่วนพระบุคคลภายในพระเจ้า

บทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน (Nicene Creed) ได้ยินยันว่าพระเยซูคริสต์ “ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนทรงสร้างกัลปจักรวาลทั้งมวล ทรงเป็นพระเจ้าบังเกิดมาจากพระเจ้า แสงสว่างจากแสงสว่าง พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ ทรงบังเกิดไม่ใช่ถูกสร้างขึ้น ทรงเป็นสาระเดียว (แก่นเดียว) กันกับพระบิดา” (Anglicans Online, n.d.). และ สภาคริสตจักรสากลแห่งคอนสแตนติโนเปิล (Council of Constantinople) ในปี ค.ศ. 381 ได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงความแตกต่างของพระบุคคลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ Wayne Grudem (2011) นักศาสนศาสตร์และนักเขียนอีแวนเจลิคัลผู้โด่งดัง เป็นที่รู้จักจากผลงานด้านศาสนศาสตร์ระบบและตำราเรียนที่มีอิทธิพลอย่าง Systematic Theology: An Introduction to Biblical Doctrine ได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อ ศาสนศาสตร์วันเนส Oneness theology หรือ ขบวนการพระเยซูเท่านั้น Jesus-Only movement) นั้นได้ลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่แท้จริงภายในพระเจ้า ท่านกล่าวว่า "ข้อบกพร่องร้ายแรงของลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) คือความจริงที่ว่าลัทธินี้ต้องปฏิเสธความสัมพันธ์ส่วนบุคคลภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพที่ปรากฏหลายแห่งในพระคัมภีร์ (หรือต้องยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตาและไม่เป็นจริง)" (หน้า 340) ท่านยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลที่ตามมาคือสิ่งนี้บ่อนทำลายหัวใจของข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักคำสอนเรื่องการชดใช้บาปโดยการรับโทษแทน (substitutionary atonement) ซึ่งเป็นแก่นแท้ของศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ ว่า "ในลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism) ได้สูญเสียหัวใจของหลักคำสอนเรื่องการไถ่บาปไป คือแนวคิดที่ว่า พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแทน และพระบุตรได้แบกรับพระพิโรธของพระเจ้าแทนเรา และพระบิดา ผู้ทรงเป็นตัวแทนความต้องการของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ทรงเห็นความทุกข์ทรมานของพระคริสต์และทรงพอพระทัย (อิสยาห์ 53:11)" (หน้า 340)

John Calvin ผู้นำด้านศาสนศาสตร์และศิษยาภิบาลนิกายปฏิรูปโปรเตสแตนต์ ซึ่งงานเขียนของท่านอย่าง The Institutes of the Christian Religion ได้หล่อหลอมศาสนศาสตร์ของโปรเตสแตนต์อย่างลึกซึ้ง ได้ยืนกรานว่า "ในสารัตถะ (Essence) หนึ่งเดียวนี้มีสามพระบุคคล แต่กระนั้นก็ไม่มีพระเจ้าสามองค์ หรือ สารัตถะอันเรียบง่ายของพระเจ้าก็มิได้ถูกแบ่งแยก" (Calvin, 1845, p. 144) พระเยซูคริสต์แบบลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อ ศาสนศาสตร์วันเนส Oneness theology หรือ ขบวนการพระเยซูเท่านั้น Jesus-Only movement) ไม่สามารถเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ได้ (1 ทิโมธี 2:5) เพราะ พระองค์เป็นเพียงการสำแดงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่พระบุตรผู้เป็นนิรันดร์ที่แตกต่างอย่างแท้จริง

ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) จากมนุษย์สู่ความเป็นพระเจ้า

ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) สอนว่าพระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ที่กลายเป็นพระเจ้า ครั้นรับบัพติศมา ฟื้นคืนพระชนม์ หรือเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ สิ่งนี้ขัดแย้งกับทั้งพระคัมภีร์และบทบัญญัติแห่งความเชื่อ (Creeds) พระธรรมยอห์น บทที่ 1 ข้อ 1 ได้กล่าวว่า “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” และ พระธรรมกาลาเทีย บทที่ 4 ข้อ 4 ได้ยืนยันความจริงดังกล่าว ว่า “พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา” ซึ่งแสดงถึงการดำรงอยู่ก่อน

ในบทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน (Nicene Creed) ซึ่งร่างขึ้นที่สภาคริสตจักรสากลแห่งไนเซียในปีคริสต์ศักราช 325 และขยายความที่สภาคริสตจักรสากลแห่งคอนสแตนติโนเปิลในปีคริสต์ศักราช 381 ยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าสมบูรณ์ของพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอธิบายหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ โดยประกาศว่าพระเยซูนั้น "ทรงบังเกิดไม่ใช่ถูกสร้างขึ้น" (Anglicans Online, n.d.) บทบัญญัติแห่งความเชื่ออะธานาเซียน (Athanasian Creed) ซึ่งเป็นบทสรุปทางศาสนศาสตร์ที่ยืนยันอย่างหนักแน่นถึงหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพและการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทำหน้าที่เป็นคำอธิบายอย่างละเอียดของความเชื่อคริสเตียนที่ถูกต้องดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อตอบโต้คำสอน/ลัทธินอกรีตเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพและศาสนศาสตร์พระคริสต์ ยืนยันว่าพระคริสต์ทรงเป็น "พระเจ้า ทรงมีสาระ (Substance) เดียวกับพระบิดา กำเนิดก่อนกัลปจักรวาลทั้งมวล และ มนุษย์ ทรงมีสาระ (Substance) เดียวกับมารดาของพระองค์ บังเกิดขึ้นบนโลก" (Christian Reformed Church in North America, n.d.)

Michael Horton (2011) นักศาสนศาสตร์คณะปฏิรูปและศาสตราจารย์ด้านศาสนศาสตร์ระบบ ผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการให้ความสำคัญต่อศาสนศาสตร์พระสัญญา (covenant theology) เสาหลักคริสเตียน "พระคัมภีร์เท่านั้น" (Sola Scriptura) และหลักคำสอนตามคำสารภาพของคณะนิกายรีฟอร์ม (Confessional Reformed doctrine) ในคริสตจักรยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านงานเขียนของท่าน เช่น The Christian Faith ท่านโต้แย้งว่า ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) สอนอย่างผิดเพี้ยนว่าพระเยซูเป็นเพียงมนุษย์ที่กลายเป็นพระเจ้า (หรือพระบุตรของพระเจ้า) ครั้นรับบัพติศมา ฟื้นคืนพระชนม์ หรือ เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ศาสนศาสตร์ของท่านยืนยันถึง การดำรงอยู่ก่อนและความเป็นพระเจ้าสมบูรณ์ของพระบุตรตั้งแต่นิรันดร์กาล โดยกล่าวว่า "พระเจ้าทรงเตรียมร่างกายสำหรับพระบุตรผู้เป็นนิรันดร์ เพื่อจะทรงถูกมอบให้ ไม่ใช่เพียงเพื่อการไถ่บาปเท่านั้น แต่เพื่อการเชื่อฟังที่มีชีวิตซึ่งมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมานั้น" (หน้า 490).

Grudem ได้แสดงให้เห็นว่า การไถ่บาปเรียกร้องให้พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ โดยท่านกล่าวว่า "ถ้าพระเยซูเป็นเพียงสิ่งทรงสร้าง... พระองค์จะทรงแบกพระพิโรธของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไรเล่า...สิ่งมีชีวิตใดๆ...จะสามารถช่วยเราให้รอดได้จริงหรือ" (Grudem, 1994, p. 345) ถ้าพระเยซูกลายเป็นพระเจ้าในภายหลัง (ดังที่ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์อ้าง) พระองค์ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะแบกรับพระพิโรธนิรันดร์ของพระเจ้า หรือ เสนอความพอใจที่ไม่สิ้นสุดได้ ดังนั้น ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) ไม่ได้เพียงขัดแย้งกับการรับสภาพมนุษย์ของพระเยซู (the Incarnation) เท่านั้น แต่ได้ยังทำลายข่าวประเสริฐด้วย

Millard Erickson (2013) นักศาสนศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานชิ้นสำคัญของเขาเรื่อง Christian Theology ซึ่งนำเสนอหลักคำสอนของคริสเตียนอีแวนเจลิคัลอย่างเป็นระบบและเข้าใจง่าย โดยอิงจากอำนาจของพระคัมภีร์และความชัดเจนทางศาสนศาสตร์ ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) ได้ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ตลอดประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนา แต่ผู้ที่ให้ความสำคัญกับคำสอนของพระคัมภีร์อย่างจริงจังจะตระหนักถึงอุปสรรคสำคัญต่อมุมมองนี้ ซึ่งรวมถึง การทรงมีอยู่ก่อนของพระคริสต์ เรื่องเล่าก่อนการประสูติ และ การประสูติจากหญิงพรหมจารี" (หน้า 775)

ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) พระบุตรผู้ด้อยกว่า

ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) อ้างว่า พระบุตรนั้นด้อยกว่าพระบิดาในสารัตถะ (Essence) และสิทธิอำนาจ แม้ว่าขณะที่พระเยซูอยู่ในบทบาทของการรับสภาพมนุษย์ (Incarnation) พระองค์ทรงยอมเชื่อฟังพระบิดา แต่พระองค์ทรงเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ในด้านการดำรงอยู่/ในเชิงภววิทยา (Being/Ontology) โดย สภาคริสตจักรสากลแห่งไนเซีย (The Council of Nicaea) ได้ประนาม ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ของเอเรียส (Arian Subordinationism) และ ยืดหยัดว่า พระบุตรทรงเป็น “พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้…ทรงเป็นสาระเดียว (Homoousios) กับพระบิดา” (Anglicans Online, n.d.) และ คำนิยามแห่งชาลซีดอน (451) ได้ประกาศเพิ่มเติมว่าพระคริสต์ทรง “สมบูรณ์ในความเป็นพระเจ้าและสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์... ทรงมีสาระเดียวกัน (Consubstantial) กับพระบิดาในฐานะพระเจ้า” (The Chalcedonian Creed, n.d.)

Grudem (2020) ยืนยันว่าในระหว่างการดำเนินพระราชกิจของพระองค์บนโลก พระเยซูทรงยอมจำนนต่อพระบิดา (เช่น ในการอธิษฐาน การเชื่อฟัง และพระราชกิจ) แต่การยอมจำนนนี้เป็นการยอมจำนนในเชิงหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่การอยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงภววิทยา (Ontological subordination) ท่านกล่าวว่า “พระองค์ไม่ได้สละความเป็นพระเจ้าของพระองค์เมื่อทรงเป็นมนุษย์" (หน้า 804) และอธิบายเพิ่มเติมว่า "การยืนยันว่า 'พระเยซูทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อย่างสมบูรณ์ในบุคคลเดียว' แม้จะไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่ก็เป็น ปฏิทรรศน์ (Paradox)... และ เป็นความจริง" (Grudem, 2020, หน้า 792) การยอมจำนนในหน้าที่นี้เกิดจากการเชื่อฟังโดยสมัครใจของพระบุตร ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ได้เกิดจากลำดับชั้นของการเป็นอยู่นิรันดร์

Millard J. Erickson ยืนยันถึงความเท่าเทียมกันทางภววิทยาของทั้งสามพระบุคคลในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ทั้งในด้านสารัตถะ และ ด้านอำนาจในอุดมคติ โดยอ้างอิงจากการสนับสนุนของพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ ที่กล่าวว่า "เรา (พระบุตร) กับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ยอห์น 10:30)... ไม่มีพระบุคคลใดในพระเจ้าตรีเอกานุภาพที่เหนือกว่าพระบุคคลอื่น ๆ" (หน้า 637)

K. Scott Oliphint นักศาสนศาสตร์คณะนิกายรีฟอร์มและนักปกป้องความเชื่อ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการมีส่วนร่วมในเรื่องการโต้แย้งเชิงหลักฐานและ ผลงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศาสนศาสตร์และปรัชญาที่อยู่ภายใต้กรอบความคิดของหลักคำสอนคณะนิกายรีฟอร์มที่เป็นสารภาพได้เตือนว่าการอยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงภววิทยา (Ontological subordination) ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดๆ นับเป็นลัทธินอกรีด (Heresy) ทั้งสิ้น ท่านกล่าวว่า ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) คือลัทธินอกรีดที่ปรากฎขึ้นภายในคริสตจักรยุคแรก ซึ่งยึดแนวคิดที่ว่า พระบุตรและพระวิญญาณด้อยกว่าพระบิดาในด้านสารัตถะ หรือ การดำรงอยู่/เชิงภววิทยา ทัศนะนี้ปฏิเสธความเท่าเทียมกันและความเป็นนิรันดร์ร่วมกันของพระบุคคลของพระเจ้า จึงได้โจมตีแก่นแท้ของหลักคำสอนตรีเอกานุภาพที่ถูกต้องดั้งเดิม" (Oliphint, K. S., n.d.)

ดังนั้น การแยกแยะระหว่าง "การอยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงหน้าที่ หรือ Functional subordination [พระคริสต์ยอมจำนนต่อพระบิดาในการรับสภาพมนุษย์ (Incarnation)] กับ "การอยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงภววิทยา หรือ Ontological subordination [อ้างว่าพระบุตรด้อยกว่าในด้านการดำรงอยู่ หรือ พระธรรมชาติ]” จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดย รูปแบบแรกเป็นไปตามหลักการของพระคัมภีร์ แต่ รูปแบบหลังเป็นคำสอนนอกรีต (Heresy) [“การด้อยกว่าเชิงภววิทยา" หมายถึงการด้อยกว่าด้านสารัตถะ (Essence) เป็นคำสอนนอกรีต และ “การอยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงหน้าที่" หมายถึงการยอมจำนนโดยสมัครใจในการรับสภาพมนุษย์ เป็นหลักคำสอนถูกต้องดั้งเดิม] โดยข้อผิดเพี้ยนรูปแบบใหม่บางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยยังคงเสนอว่าพระบุตรด้อยกว่าพระวิญญาณในสารัตถะหรือสิทธิอำนาจ ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการอยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงภววิทยาที่ไม่มีการรับรองจากพระคัมภีร์

การวินิจฉัยหลักคำสอน ไม่ใช่ พฤติกรรมเยี่ยงฟาริสี

ข้อกล่าวหาที่พบบ่อยต่อผู้ที่ท้าทายหลักศาสนศาสตร์พระคริสต์ที่ไม่เป็นไปตามหลักการของพระคัมภีร์ หรือ การเคลื่อนไหวเชิงการฟื้นฟูที่น่าสงสัย คือ พวกเขากำลังประพฤติตนเยี่ยงฟาริสี อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นเปรียบเทียบที่ผิด เนื่องจาก พระเยซูไม่ได้ทรงตำหนิพวกฟาริสีที่ปกป้องความจริงของหลักคำสอน แต่ทรงตำหนิพวกเขาที่ปฏิเสธพระองค์ บิดเบือนธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วยธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์ และแสวงหาอำนาจเหนือความจริง (มัทธิว 23)

D.A. Carson นักวิชาการพันธสัญญาใหม่และนักศาสนศาสตร์ที่โดดเด่น เป็นที่รู้จักจากผลงานอันแพร่หลายในด้านการอรรถาธิบายพระคัมภีร์ หลักการตีความ และการปกป้องหลักความเชื่อที่ถูกต้องดั้งเดิมของกลุ่มอีแวนเจลิคัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านงานเขียนของท่านเกี่ยวกับอำนาจของพระคัมภีร์และความท้าทายของแนวคิดหลังยุคนวนิยม ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “คริสเตียนควรโต้แย้งเพื่อความจริงของข่าวประเสริฐไปพร้อมกัน” (Carson, 1996, หน้า 134) และการเตือนถึงคำสอนที่ผิดเพี้ยนไม่ได้หมายถึงการมีจิตใจคับแคบหรือการไม่ยอมรับผู้อื่น แต่คือส่วนสำคัญของพันธกิจของคริสตชน ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่พบบ่อยว่าผู้ที่ท้าทายศาสนศาสตร์พระคริสต์ที่ไม่เป็นไปตามหลักการของพระคัมภีร์ หรือการเคลื่อนไหวเชิงการฟื้นฟูที่น่าสงสัยนั้นกำลังประพฤติตนเยี่ยงฟาริสี จึงเป็นการเปรียบเทียบที่ผิดพลาด

R.C. Sproul นักศาสนศาสตร์คณะนิกายรีฟอร์ม นักเทศน์ และผู้ก่อตั้ง Ligonier Ministries ผู้เป็นที่เคารพอย่างกว้างขวางในด้านการสอนที่ชัดเจนเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ความไม่ผิดพลาดของพระคัมภีร์ และการฟื้นฟูหลักคำสอนคริสเตียนดั้งเดิมสำหรับคริสตจักรในยุคปัจจุบัน ได้วิพากษ์วิจารณ์การใช้คำว่า "ฟาริสี" อย่างไม่ถูกต้องมาโดยตลอด โดยเน้นย้ำว่าพระเยซูไม่ได้ทรงประณามพวกฟาริสีในเรื่องการห่วงใยในหลักคำสอนที่ถูกต้อง แต่ทรงประณามพวกเขาในเรื่องความหน้าซื่อใจคด การบิดเบือนความจริงของพระเจ้า และ ความชอบธรรมที่เกิดจากตนเอง (Self-righteousness) ท่านเน้นย้ำว่าการตำหนิของพระเยซูไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การรักความจริง แต่พุ่งเป้าไปที่ผู้ที่นำธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์มาแทนที่การเปิดเผยของพระเจ้า โดยรักษาภาพลักษณ์ภายนอกที่เคร่งศาสนาไว้ (Sproul, 2010, หน้า 76–78, 198)

การที่บางคนถูกตราหน้าว่าเป็น "พวกฟาริสี" เพียงเพราะปกป้องหลักคำสอนเรื่องความเป็นพระบุตรนิรันดร์ พระลักษณะอันสมบูรณ์ของพระเจ้า และความสมบูรณ์พร้อมของพระคริสต์ในการไถ่บาปนั้น แท้จริงแล้วเป็นการยืนหยัดในรากฐานสำคัญของข่าวประเสริฐ และห่างไกลจากข้อกล่าวหาดังกล่าว (1 โครินธ์ 15:1–4; โคโลสี 2:9–10) การตีตราทุกความห่วงใยในความจริงว่าเป็น "ฟาริสี" เป็นเพียงกลยุทธ์ที่มักถูกใช้เพื่อปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์ อัครทูตได้เอ่ยชื่อผู้สอนผิด เตือนฝูงแกะ และรักษาความเชื่อที่พระคริสต์ทรงประทานให้ไว้ (ยูดา 3; 1 ทิโมธี 6:3–5) แรงผลักดันในยุคปัจจุบันที่จะหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยหลักคำสอนในนามของ "การเปิดกว้างที่นำโดยพระวิญญาณ" นั้น กลับดูเหมือนเป็นข้อผิดพลาดของพวกฟาริสี ซึ่งคือ การปฏิเสธความจริงแต่ยังคงแสดงออกถึงความเคร่งศาสนาภายนอก (2 ทิโมธี 3:5) เองอย่างน่าขัน

ความแม่นยำทางศาสนศาสตร์ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยทางปัญญา แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อข่าวประเสริฐ เมื่อคริสตจักรหันเหไปสู่แนวคิดลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อ ศาสนศาสตร์วันเนส Oneness theology หรือ ขบวนการพระเยซูเท่านั้น Jesus-Only movement) ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) หรือ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ทำผิดพลาดทางศาสนศาสตร์อันเล็กน้อย แต่พวกเขากำลังเทศนาถึง พระคริสต์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มาคริสตจักรด้วยเจตนาดีแต่ปฏิบัติตามคำสอนเหล่านี้กำลังถูกนำออกไปจาก ข่าวประเสริฐที่ช่วยให้รอดได้ ความผิดพลาดในระดับบุคคลของพระคริสต์ไม่ใช่เรื่องทางทฤษฎี แต่เป็นเรื่องที่มีผลสืบเนื่องชั่วนิรันดร์ และดังที่เปาโลเตือนไว้ พระคริสต์ที่แตกต่างออกไปหมายถึงการไม่มีข่าวประเสริฐเลย

พระคริสต์อื่น ข่าวประเสริฐอื่น

แม้ว่าอัครทูตเปาโลจะเผชิญหน้ากับการบิดเบือนทางด้านการปฎิบัติตามธรรมบัญญัติโดยตรงในพระธรรมกาลาเทีย แต่แก่นแท้ของคำเตือนของท่านเกี่ยวข้องกับสิ่งใดก็ตามที่เปลี่ยนแปลงรากฐานของ การชำระให้ชอบธรรม/การนับเป็นผู้ชอบธรรม (Justification) กล่าวคือ ความเชื่อในพระคริสต์นิรันดร์และแท้จริง ลัทธินอกรีดด้านศาสนศาสตร์พระคริสต์ เช่น ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) และ ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อ ศาสนศาสตร์วันเนส Oneness theology หรือ พระเยซูเท่านั้น Jesus-Only) ไม่ได้เป็นเพียงความผิดพลาดทางหลักคำสอนที่เป็นนามธรรม แต่ยังเป็นการปฏิเสธหรือบิดเบือนพระลักษณะความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นการนำเสนอพระเยซูองค์อื่น และด้วยเหตุนี้จึงเป็น "ข่าวประเสริฐอื่น" สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความเห็นต่างทางศาสนศาสตร์ที่เล็กน้อย แต่เป็นการเบี่ยงเบนในระดับพื้นฐานจากข่าวประเสริฐของอัครทูต พระคริสต์ที่ไม่ได้เป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้บังเกิดจากพระบิดาตั้งแต่นิรันดร์ และไม่ได้เป็นพระบุคคลที่แตกต่างกันภายในพระเจ้าสามพระบุคคล จะไม่สามารถช่วยให้รอดได้ ด้วยเหตุนี้ การบิดเบือนเหล่านี้จึงถือเป็นข่าวประเสริฐเทียมเท็จที่ไม่สามารถคืนดีคนบาปกับพระเจ้าได้

ข้อผิดเพี้ยนทางศาสนศาสตร์พระคริสต์เหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่สร้างความสับสนทางศาสนศาสตร์เท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายความรอดด้วย ดังที่เปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า การประกาศ "ข่าวประเสริฐอื่น" (กาลาเทีย 1:6) จะนำวิญญาณของผู้คนออกไปจากพระคุณของพระคริสต์ Horton (2011) เน้นย้ำว่า พระคริสต์ที่แตกต่างกันย่อมหมายถึงข่าวประเสริฐที่แตกต่างกัน ท่านกล่าวว่า "พระบิดาทรงประทานข่าวประเสริฐ พระบุตรคือข่าวประเสริฐ และพระวิญญาณทรงสร้างความเชื่อในใจเราให้รับข่าวประเสริฐนั้น" (หน้า 158) สิ่งที่สำคัญยิ่ง คือ พระบุตร (พระคริสต์) คือข่าวประเสริฐ หากพระคริสต์ด้อยกว่าพระบิดาทั้งในสารัตถะและพระสิริแล้ว คนไทยก็ไม่มีข่าวประเสริฐ พระคริสต์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงไม่อาจช่วยให้รอดได้ เพราะมีแต่พระเจ้าเองเท่านั้นที่จะสามารถทำให้คนบาปคืนดีกับพระองค์ได้ หากพระคริสต์ของคนไทยเป็นเพียงมนุษย์ที่พระเจ้าทรงรับเป็นพระบุตร แทนที่จะเป็นพระบุตรนิรันดร์ผู้ทรงมารับสภาพเป็นมนุษย์ พวกเขาก็ไม่มีข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า พระเจ้าเองทรงมารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเราให้รอด หากพระคริสต์ของคนไทยเป็นเพียงรูปแบบหรือการสำแดงของพระเจ้า แทนที่จะเป็นพระบุคคลแตกต่างอย่างชัดเจน พระบุตรนิรันดร์ ผู้ทรงอยู่ในสามัคคีธรรมแห่งรักกับพระบิดาและพระวิญญาณ พวกเขาก็ไม่มีข่าวประเสริฐ

ข่าวประเสริฐนั้นเป็นเรื่องของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ข่าวประเสริฐจะคงอยู่หรือล้มลงขึ้นอยู่กับ พระคริสต์ที่แท้จริง ผู้ทรงเสมอภาคกับพระบิดา (โต้แย้งแนวคิดของลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์) ผู้ทรงเป็นพระเจ้าตลอดนิรันดร์ (โต้แย้งแนวคิดของลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์) และผู้ทรงเป็นพระบุคคลที่แตกต่างกันภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ (โต้แย้งแนวคิดของลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์) พระคริสต์ที่แตกต่างออกไปย่อมหมายถึงข่าวประเสริฐที่แตกต่างออกไป และหมายถึง ไม่มีความรอด พระคริสต์เช่นนั้นไม่สามารถช่วยให้รอดได้ ข่าวประเสริฐเช่นนั้นไม่สามารถเป็นสื่อกลางในการคืนดี ยกความชอบธรรมให้ (Impute righteousness) หรือ พิชิตความตายได้ กล่าวโดยสรุปคือ ทุกลัทธินอกรีตทางศาสนศาสตร์พระคริสต์เป็นลัทธินอกรีตทางศาสนศาสตร์ความรอด ด้วยพระคริสต์ที่ไม่ใช่พระเจ้าอย่างแท้จริงไม่สามารถนำมาซึ่งความรอดที่แท้จริงได้ มีเพียง พระบุตรนิรันดร์ ซึ่งเป็นสาระเดียวกับพระบิดา และทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อเราเท่านั้นที่เพียงพอสำหรับการไถ่บาป (ฮีบรู 7:25; ยอห์น 17:5)

สภาคริสตจักรสากลแห่งไนเซีย (Council of Nicaea) และ บทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน (Nicene Creed) ได้ปฏิเสธ ลัทธิเอเรียนนิสม์ (Arianism) อย่างตรงไปตรงมา (ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าพระคริสต์ทรงถูกสร้างขึ้น) โดยยืนยันหนักแน่นว่ามีเพียงผู้เดียวที่ทรง "เป็นสาระเดียวกับพระบิดา" (homoousios) เท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ดังที่ระบุไว้ในบทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีนว่า "[พระเยซูคริสต์] บังเกิด มิได้ถูกสร้างขึ้น ทรงเป็นสาระ (Substance) เดียวกับพระบิดา อาศัยพระบุตรนี้ ทุกสิ่งได้รับการเนรมิตขึ้นมา เพราะเห็นแก่เรามนุษย์ เพื่อทรงช่วยเราให้รอด พระองค์จึงเสด็จจากสวรรค์" (Anglicans Online, n.d.)

บทสรุป: การธำรงรักษาข่าวประเสริฐดั้งเดิมที่มาจากอัครทูต

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น หลักคำสอนเหล่านี้บิดเบือนรากฐานของการชำระให้ชอบธรรม/การนับเป็นผู้ชอบธรรม (Justification) โดยการนำเสนอ พระคริสต์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งนำไปสู่ ข่าวประเสริฐที่แตกต่างออกไป ดังนั้นคำสอนต่างๆ เช่นที่ปรากฏในเทศนาสาธารณะของ Bright Romance เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง (Saiyasak, 2025a; 2025b) และกลุ่มอื่นๆ ในประเทศไทยที่ยอมรับแนวคิด ลัทธินอกรีตโมดัลลิสม์ (Modalism ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในยุคปัจจุบันในอีกชื่อ ศาสนศาสตร์วันเนส [Oneness theology] หรือ พระเยซูเท่านั้น [Jesus-Only]) ลัทธินอกรีตอะดอพชันนิสม์ (Adoptionism) หรือ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชันนิสม์ (Subordinationism) [ในเชิงภววิทยา] จะต้องได้รับการพิจารณาว่าเป็นการเบี่ยงเบนจากความเชื่อตามพระคัมภีร์และอัครทูต และจัดอยู่ในหมวดหมู่ "ข่าวประเสริฐอื่น" ตามที่เปาโลได้กล่าวไว้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ข้อผิดพลาดที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็น ลัทธินอกรีต ที่ทำลายความครบถ้วนบริบูรณ์ของข่าวประเสริฐ ที่ซึ่ง บทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน (Nicene Creed) บทบัญญัติแห่งความเชื่ออะธานาเซียน (Athanasian Creed), และบทบัญญัติแห่งความเชื่อชาลซีดอน (Chalcedonian Creed) ถูกบัญญัติขึ้นอย่างแม่นยำเพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนดังกล่าว และธรรมเนียมโปรเตสแตนต์ก็ยังคงสืบทอดการปกป้องหลักความเชื่อที่ถูกต้องดั้งเดิมนี้ต่อไป

ข่าวประเสริฐแห่งความรอด ขึ้นอยู่กับ พระคริสต์ที่แท้จริง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้รับสภาพเป็นมนุษย์ ทรงบังเกิดนิรันดร์ ทรงเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง และทรงสามารถช่วยให้รอดได้อย่างสมบูรณ์

ไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใด นอกเหนือจากพระองค์ (พระคริสต์)

การปฏิเสธความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ ความเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ของพระคริสต์ หรือ ความแตกต่างของพระบุคคลของพระองค์ คือการประกาศพระเยซูองค์อื่น และด้วยเหตุนี้จึงเป็น ข่าวประเสริฐอื่น

ดังที่เปาโลได้เตือนไว้ใน พระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 11 ข้อ 4 ว่า บางคนประกาศ “พระเยซูอีกองค์หนึ่ง... พระวิญญาณซึ่งแตกต่างจาก... ข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่าง” ซึ่งเป็นรูปแบบที่ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบันภายใต้ชื่อใหม่แต่เป็นข้อผิดเพี้ยนเดิมๆ

ขอให้ศิษยาภิบาล นักศาสนศาสตร์ และผู้เชื่อชาวไทยทุกคน ลุกขึ้นปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการประกาศพระคริสต์ที่แท้จริงด้วยความชัดเจนและด้วยความเชื่อมั่น ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อผิดเพี้ยนเท่านั้น แต่เพื่อนำเสนอความงามแห่งความรอดของข่าวประเสริฐในความไพบูรณ์ของข่าวประเสริฐ

ความบริสุทธิ์ของข่าวประเสริฐและความรอดของวิญญาณของผู้คนขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

ขอพระสิริมีแด่พระองค์ (พระคริสต์) ผู้ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ พระบุตรนิรันดร์ และพระผู้ช่วยให้รอดนิรันดร์ ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน


บรรณานุกรม

  1. Anglicans Online. (n.d.). The Nicene Creed. In Anglicans Online: Basics. Retrieved June 16, 2025, from https://anglicansonline.org/basics/nicene.html
  2. Calvin, J. (1845). Institutes of the Christian religion (H. Beveridge, Trans.). Calvin Translation Society. (Original work published 1536)
  3. Christian Reformed Church in North America. (n.d.). Athanasian Creed. Retrieved June 16, 2025, from https://www.crcna.org/welcome/beliefs/creeds/athanasian-creed
  4. Council of Constantinople. (381). Niceno-Constantinopolitan Creed. In P. Schaff (Ed.), Creeds of Christendom (Vol. 2). Harper & Bros.
  5. Carson, D. A. (1996). The gagging of God: Christianity confronts pluralism. Zondervan.
  6. Erickson, M. J. (2013). Christian Theology (3rd ed.). Baker Academic.
  7. Grudem, W. A. (1994). Systematic Theology: An Introduction to Biblical Doctrine. Zondervan.
  8. Horton, M. (2011). The Christian Faith: A Systematic Theology for Pilgrims on the Way. Zondervan.
  9. Letham, R. (2015). Eternal generation in the Church Fathers. In B. A. Ware & J. Starke (Eds.), One God in three persons: Unity of essence, distinction of persons, implications for life (pp. 109–126). Crossway.
  10. Oliphint, K. S. (n.d.). Subordinationism. Monergism. Retrieved June 19, 2025, from https://www.monergism.com/subordinationism
  11. Sproul, R. C. (2010). The holiness of God.. Ligonier Ministries.
  12. Saiyasak, C. (2025a). A Theological Rebuttal to Bright Romance's Heretical Christology: Upholding the Eternal Sonship and Divine Sufficiency of Christ. Journal of Thai Protestant Theology, 2(2). Retrieved from http://www.thaiprotestanttheology.mf.or.th/journal/article7.html
  13. Saiyasak, C. (2025b). A Theological Defense of Trinitarian Doctrine, the Eternal Sonship of Christ, and the True Incarnation: A Rebuttal of the Heretical Teachings of Bright Romance. Journal of Thai Protestant Theology, 2(2). Retrieved from http://www.thaiprotestanttheology.mf.or.th/journal/article6.html
  14. Tertullian. (1920). Against Praxeas (A. Souter, Trans.). Society for Promoting Christian Knowledge; The Macmillan Company. https://dn790007.ca.archive.org/0/items/tertullianagains00tertrich/tertullianagains00tertrich.pdf
  15. The Chalcedonian Creed. (n.d.). The Westminster Standard. Retrieved June 19, 2025, from https://thewestminsterstandard.org/the-chalcedonian-creed/

เกี่ยวกับผู้เขียน

Author Photo

ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (ศาสตราจารย์ประจำสาขาศาสนศึกษาและศาสนศาตร์มิชชัน) (ไทย, ศิษยาภิบาลคริตจักร์แม่น้ำโขงโนนประเสริฐ) นักศาสนศาสตร์ และศาสนศาสตร์มิชชั่น จังหวัดอุบลราชธานี เป็นกรรมาธิการศาสนศาสตร์ และกรรมาธิการเสรีภาพทางศาสนา ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (Evangelical Fellowship of Thailand) และของสหกิจเอเชีย (Asia Evangelical Alliance) โดยมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาศาสนศาสตร์และความคิดริเริ่มด้านเสรีภาพทางศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดร. จันทร์สมร ยังดำรงตำแหน่งนักศาสนศาสเอเชียของสหกิจโลก (World Evangelical Alliance) ใน GA 2025 Theological Project ด้วย ด้วยประสบการณ์ด้านศาสนศาสตร์และการเป็นผู้นำกว่า 40 ปี ดร. จันทร์สมร ได้เป็นผู้นำและอาจารย์สอนที่สถาบันการศึกษาและศาสนศาสตร์คริสเตียน โครงการพัฒนาชุมชน และการก่อตั้งคริสตจักรในประเทศไทยและลาว ดร.จันทร์สมร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Doctor of Philosophy in Theology and Religious Studies ด้านศาสนศานตร์และศาสนศึกษา จาก Evangelische Theologische Faculteit (เบลเยียม) และปริญญาเอก Doctor of Ministry and Master of Divinity ด้านศาสนศาสตร์มิชชั่นจาก Mid-America Baptist Theological Seminary (สหรัฐอเมริกา) และ วิทยาศาสตรบัณฑิตสาขาศาสนา จาก Liberty University (USA) และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรการเป็นผู้นำขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard University มหาวิทยาลัยเยล Yale University และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด Oxford University พร้อมกันนี้ ดร.จันทร์สมร ยังรับใช้เป็นกรรมการและวิทยากรประจำขององค์กรต่างๆ เช่น SEANET Missiological Forum และ Lausanne Movement’s Worldplace, World Evangelical Alliance, และ Asian Society of Missiology

💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook

Page Views:

Visit counter For Websites