วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย

เล่มที่ 4 ฉบับที่ 1 – ดุลาคม 2025


การประเมินของสายอีแวนเจลิคอลนิกายโปรเตสแตนต์ต่อ "การล้มลงในพระวิญญาณ" และ "การเคลื่อนไหวไฟ"

วันที่: 11 ดุลาคม 2025

บทนำ

ปรากฏการณ์ที่เป็นที่รู้จักในชื่อ "การล้มลงในพระวิญญาณ" (Slain in the Spirit) และการเคลื่อนไหว "ไฟ...ไฟ" (the "Fire...Fire" movement) ได้รับความสนใจในแวดวงกลุ่มเพนทาคอสและคาริสมาติกทั่วโลกซึ่งรวมถึงประเทศไทย ประสบการณ์เหล่านี้มีลักษณะเป็นการล้มลงกับพื้น หรือการแสดงออกทางร่างกายที่รุนแรง ซึ่งถูกตีความว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความดึงดูดทางอารมณ์ การสำแดงออกเหล่านี้ก็ได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างมากในศาสนศาสตร์ของสายอีแวนเจลิคอลนิกายโปรเตสแตนต์

บทความนี้เป็นส่วนขยายและต่อยอดจากการวิจารณ์ทางด้านพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ของผู้เขียนที่เคยตีพิมพ์ใน วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย (Saiyasak, 2025) ซึ่งสรุปว่าปรากฏการณ์ "การล้มลงในพระวิญญาณ" และการสำแดง "ไฟแปลกปลอม" (Strange Fire manifestations) ขาดรากฐานจากพระคัมภีร์และบิดเบือนจิตวิญญาณคริสเตียนที่แท้จริง จากการศึกษาครั้งก่อน บทความนี้จึงมุ่งทบทวนการปฏิบัติเหล่านี้อีกครั้งในบริบทของความนิยมอย่างต่อเนื่องในเอเชียและประเทศไทย โดยโต้แย้งว่าการเคลื่อนไหว "การล้มลงในพระวิญญาณ" และ "ไฟ" มีต้นกำเนิดที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ มีความบิดเบือนทางหลักศาสนศาสตร์ที่เป็นอันตรายต่อการอภิบาลและไม่สอดคล้องกับความเชื่อของนิกายโปรเตสแตนต์ แม้ว่าความดึงดูดทางสังคมและวัฒนธรรมในเอเชียอาจอธิบายถึงความคงอยู่ของปรากฏการณ์เหล่านี้ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะน่าตื่นเต้นทางจิตวิญญาณอาจเป็นสิ่งที่นำไปสู่การนำทางทางจิตวิญญาณที่ผิดได้

ตัวอย่างสำคัญของแนวคิดและการปฏิบัติที่กล่าวถึงในบทความนี้สามารถพบได้ใน คริสตจักรน้ำองุ่นใหม่ กรุงเทพฯ (New Wine International Church Bangkok) ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนภาพจริงของปรากฏการณ์ “การล้มลงในพระวิญญาณ” และ “การเคลื่อนไหวไฟ” ในบริบทไทย ดังที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์ไว้โดยละเอียดในบทความคู่ขนานชื่อ “From Fire to Fallout: The New Wine Church and the Toronto–Tampa Revival’s Final Crisis in Thailand” (Saiyasak, 2025, October 11) คริสตจักรนี้แสดงให้เห็นการผสมผสานระหว่างแนวศาสนศาสตร์ “ไฟแห่งพระวิญญาณ” ของร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์ กับกระแส “พระพรจากโตรอนโต” (Toronto Blessing) จนกลายเป็นรูปแบบของความเชื่อนีโอคาริสมาติก (Neo-Charismatic) ในบริบทไทยอย่างชัดเจน บทความฉบับนี้จึงเป็นการวางรากฐานทางศาสนศาสตร์สำหรับทำความเข้าใจกรณีดังกล่าว ส่วนบทความ From Fire to Fallout เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบทางคริสตจักรและจริยธรรมของกระแสนี้ในประเทศไทย

การประเมินตามหลักพระคัมภีร์: การขาดแบบอย่างจากอัครทูต

ดังที่เคยมีการกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ (Saiyasak, 2025) พระคัมภีร์ไม่ได้ให้เหตุผลรองรับใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า การล้มลงหรือการสูญเสียการควบคุมทางร่างกายของผู้เชื่อเป็นหลักฐานตามปกติของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงความผิดบาป ทรงเสริมกำลัง และทรงปลอบโยน แต่ไม่ทรงเข้าครอบงำผู้เชื่อจนไม่มีสติหรือกระทำการโดยไม่สมัครใจ คำสอนของอัครทูตเปาโลมีความชัดเจนว่า "เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ" (1 โครินธ์ 14:33) ในทำนองเดียวกัน "ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือ...การรู้จักบังคับตน" (กาลาเทีย 5:22-23)

ตัวอย่างการส้มลงในพระคัมภีร์ เช่น เอเสเคียล 1:28 วิวรณ์ 1:17 หรือ ยอห์น 18:6 เกิดขึ้นในบริบทของการเปิดเผยที่เป็นเอกเทศ (Singular revelatory contexts) หรือในเหตุการณ์ของการพิพากษา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในที่ประชุม โดย Stott สต็อตต์ (1964) ยืนยันว่า “สิ่งที่เราแสวงหาเพื่อตนเองและสิ่งที่เราสอนผู้อื่นจะต้องถูกควบคุมโดยพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว... ประสบการณ์จะต้องไม่เป็นเกณฑ์ของความจริง แต่ความจริงจะต้องเป็นเกณฑ์ของประสบการณ์เสมอ” (หน้า 15) ดังนั้น งานใดๆ ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นของพระวิญญาณแต่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์จึงไม่อาจเป็นของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการปฏิบัติที่เป็นพิธีกรรมของ “การล้มลงในพระวิญญาณ” จึงยังคงขาดแบบอย่างจากอัครทูตและขัดแย้งกับพระธรรมชาติที่เป็นระเบียบของพระวิญญาณบริสุทธิ์

การประเมินตามหลักศาสนศาสตร์: มุมมองต่อพระวิญญาณที่ถูกลดทอน

พันธกิจ "ไฟ" หลายแห่งมักแสดงถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าเป็นพลังงานหรือสารที่สามารถถ่ายทอดได้ตามคำสั่งของมนุษย์ คำสอนเช่นนี้เป็นการลดทอนความเป็นพระบุคคลของพระวิญญาณ และสร้างศาสนศาสตร์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ผิด (False pneumatology) ซึ่งขัดแย้งกับหลักคำสอนตรีเอกานุภาพ (Trinitarian doctrine) หลักศาสนศาสตร์ของอีแวนเจลิคอลยืนยันว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระบุคคล ผู้ทรงเป็นพระเจ้า (Divine person) (ยอห์น 14:26; กิจการ 5:3-4) ผู้ที่ถวายพระเกียรติแด่พระคริสต์ (ยอห์น 16:14) และชำระผู้เชื่อให้บริสุทธิ์ (2 เธสะโลนิกา 2:13)

Packer (1984) เตือนว่าภารกิจหลักของพระวิญญาณมักจะถูกเข้าใจผิดเมื่อกลายเป็น "การยึดตัวบุคคลของคริสเตียนเป็นศูนย์กลางแทนที่จะยึดพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง: กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางแทนที่จะยึดพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง" และย้ำเตือนว่า "การเป็นสื่อกลางให้กับพระคริสต์เคยเป็นและยังคงเป็นภารกิจหลักที่พระวิญญาณทรงอยู่ที่นี่ เพื่อกระทำภายใต้พันธสัญญาใหม่" (หน้า 67) เมื่ออารมณ์หรือประสบการณ์ของมนุษย์เข้ามาแทนที่พันธกิจที่มุ่งเน้นไปยังพระคริสต์นี้ พระราชกิจที่แท้จริงของพระวิญญาณก็จะถูกบดบังแทนที่จะได้รับการเชิดชู เมื่อ "ไฟ" หรือ "การล้มลง" เข้ามาครอบงำพันธกิจ ประสบการณ์จะเข้ามาแทนที่ความจริง และ การแสดงที่น่าตื่นเต้นจะเข้ามาแทนที่การชำระให้บริสุทธิ์ (Sanctification) ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้วในบทความของ Saiyasak (2025) คำสอนเช่นนี้ถือเป็นคำสอนที่ผิดทางหลักศาสนศาสตร์และเป็นอันตรายทางจิตวิญญาณ เนื่องจากเป็นการนำการแสดงที่หวือหวาเข้ามาแทนที่การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่แท้จริง

การประเมินตามหลักประวัติศาสตร์: นวัตกรรมสมัยใหม่ที่ไม่ใช่ของโปรเตสแตนต์

วิธีปฏิบัติเรื่อง "การล้มลงในพระวิญญาณ" ไม่ใช่องค์ประกอบทางประวัติศาสตร์ของหลักคำสอนถูกต้องดั้งเดิมของนิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant orthodoxy) แต่เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มคาริสเมติก (Charismatic innovation) ซึ่งพัฒนาขึ้นภายในกระแสการฟื้นฟูในช่วงศตวรรษที่สิบเก้าและยี่สิบ ดังที่ได้มีการบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ (Saiyasak, 2025) ปรากฏการณ์ดังกล่าวสามารถสืบย้อนร่องรอยของไปได้ถึง การฟื้นฟูกลุ่มโฮลีเนส (Holiness) และการรักษาโรค (Healing)ในศตวรรษที่สิบเก้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเทศน์หมุนเวียนประจำในที่ต่าง ๆ เช่น มาเรีย วูดเวิร์ธ-เอ็ตเตอร์ (Maria Woodworth-Etter, 1844−1924) และ เอมี เซมเพิล แมคเฟอร์สัน (Aimee Semple McPherson, 1890−1944) ซึ่งการนมัสการของพวกเขามักจะประกอบด้วย การล้มตัวลงเหมือนอยู่ในภวังค์ (Trance-like collapses) และ การเปล่งเสียงด้วยความเคลิบเคลิ้ม (Ecstatic utterances) (Gabriel, 2014)

วิธีปฏิบัติดังกล่าวได้กลับมาโดดเด่นอีกครั้งอย่างชัดเจนในพันธกิจการรักษาโรคของเพนเทคอสต์ช่วงกลางศตวรรษที่ยี่สิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพันธกิจของ แคทเธอรีน คูลแมน (Kathryn Kuhlman) และ ออรัล โรเบิร์ตส (Oral Roberts) ซึ่งทั้งสองได้ทำให้แนวคิดที่ว่า "การเจิม" (The “anointing”) สามารถส่งผลต่อร่างกายของบุคคลได้อย่างท่วมท้น เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ในบริบทเหล่านี้ การล้มลงถูกมองว่าเป็นการตอบสนองที่เกิดขึ้นเองโดยทันทีต่อการทรงสถิตของพระเจ้าไม่ใช่พิธีกรรมที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเคลื่อนไหวในระดับโลกร่วมสมัยนั้นไม่สามารถขาดจาก ร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด บราวน์ (Rodney Howard-Browne) นักเทศน์เพนเทคอสต์ชาวแอฟริกาใต้ที่ย้ายถิ่นฐานไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1987 ได้เลย การประชุมฟื้นฟูจิตวิญญาณของเขาที่มีลักษณะเด่นคือการหัวเราะอย่างไม่สามารถควบคุมได้ การล้มลงและการสั่น ได้นำเสนอสิ่งที่เขาเรียกว่าประสบการณ์ "พระวิญญาณบริสุทธิ์และไฟ" (the “Holy Ghost and fire” experience) การประชุมเหล่านี้ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกที่ฟลอริดาและต่อมาที่ทัลซา ได้ดึงดูดศิษยาภิบาลจากทั่วอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมถึง แรนดี คลาร์ก (Randy Clark) ผู้ที่กลายเป็นบุคคลสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างการฟื้นฟูของฮาวเวิร์ด บราวน์กับปรากฏการณ์ "พระพรจากโตรอนโต" (Toronto Blessing) ที่ตามมาในภายหลัง (MacArthur, 2013; Pew Research Center, 2006)

ในเดือนมกราคม ปี 1994 แรนดี คลาร์ก ได้นำรูปแบบการฟื้นฟูจิตวิญญาณดังกล่าวไปยังคริสตจักรโตรอนโต แอร์พอร์ต วินยาร์ด (Toronto Airport Vineyard Church) ซึ่งมีจอห์นและแครอล อาร์นอตต์ (John and Carol Arnott) เป็นศิษยาภิบาล ผลลัพธ์ที่ตามมาคือปรากฏการณ์ "พระพรจากโตรอนโต" (Toronto Blessing) ซึ่งกลายเป็นการหลั่งไหลที่ยาวออกไป (Extended outpouring) โดยมีลักษณะเด่นคือ การหัวเราะ การสั่น การร้องไห้ เสียงคล้ายสัตว์ และการที่ผู้คน "ล้มลงในพระวิญญาณ" เป็นวงกว้าง ภายในไม่กี่เดือน ศิษยาภิบาลและผู้ร่วมงานนมัสการหลายหมื่นคนได้เดินทางไปยังโตรอนโตเพื่อ "รับพระพร" ก่อนที่จะส่งออกปรากฏการณ์เหล่านี้ไปทั่วโลก และต่อมาคริสตจักรแห่งนี้ก็ได้แยกตัวออกจากกลุ่มคริสตจักรวินยาร์ด (Vineyard Movement) และก่อตั้งเป็น โตรอนโต แอร์พอร์ต คริสเตียน เฟลโลว์ชิพ (Toronto Airport Christian Fellowship หรือ TACF) ซึ่งเป็นสถาบันที่รวบรวมการเคลื่อนไหวฟื้นฟูรูปแบบใหม่นี้ไว้ด้วยกัน

ภาษาของ "ไฟ" ซึ่งปัจจุบันเป็นที่แพร่หลายในแวดวงคาริสเมติกในเอเชีย มีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมโตรอนโตนี้เอง โดยที่ผู้เข้าร่วมพูดถึง "ไฟใหม่ (Fresh fire)" และ "คลื่นแห่งฤทธิ์อำนาจ (Waves of power)" ด้วยการอาศัยการประชุมนานาชาติ รายการโทรทัศน์ และการเดินทางของมิชชันนารี รูปแบบการฟื้นฟูจิตวิญญาณหลังยุคโตรอนโตก็ได้กลายเป็นแม่แบบของการฟื้นฟูที่โดดเด่นไปทั่วเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา (Pew Research Center, 2006)

จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ของนิกายโปรเตสแตนต์ การพัฒนาเหล่านี้ถือเป็นการเบี่ยงเบนออกจากมรดกแห่งการปฏิรูปศาสนา (Reformation heritage) ซึ่งเน้นที่จิตวิญญาณที่มีพระวจนะเป็นศูนย์กลางและมีพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นพื้นฐาน หลักโปรเตสแตนต์ดั้งเดิมเน้นย้ำว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานผ่านเครื่องมือแห่งพระคุณ (Means of grace) อันได้แก่ การเทศนา พิธีศักดิ์สิทธิ์ การอธิษฐาน และการเชื่อฟัง ไม่ใช่ผ่านปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เกิดขึ้นโดยตรงโดยไม่มีสื่อกลาง (Unmediated physical phenomena) (Horton, 2011) ดังนั้นการสำแดงออกในรูปแบบ "การล้มลงในพระวิญญาณ" และ "ไฟ" จึงเป็นตัวแทนของความสุดโต่งของการฟื้นฟูจิตวิญญาณที่มีรากฐานมาจากการมุ่งเน้นอารมณ์ความรู้สึกทางศาสนาสมัยใหม่ (Modern religious emotionalism) ไม่ใช่หลักศาสนศาสตร์ของการปฏิรูปศาสนาโปรเตสแตนต์

Lloyd-Jones (1959) เตือนว่าการฟื้นฟูต้องไม่ถูกเข้าใจสับสนกับเป็นเพียงแค่ความตื่นเต้นหรือการเน้นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก: "การจู่โจมโดยตรงต่ออารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผิด... แนวทางการเข้าถึงอารมณ์ต้องผ่านความเข้าใจ ผ่านความคิด โดยอาศัยความจริง" (หน้า 76) สำหรับเขาแล้ว สัญลักษณ์ที่แท้จริงแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณคือการกลับใจและการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ (หน้า 147–148, 209) ดังนั้น ทั้งในทางประวัติศาสตร์และหลักคำสอน ปรากฏการณ์ "การล้มลงในพระวิญญาณ" และการเคลื่อนไหว "ไฟ" จึงมีต้นกำเนิดที่ไม่ใช่นิกายโปรเตสแตนต์ มีการสร้างสรรค์ที่เป็นแบบสมัยใหม่และมีความไม่สอดคล้องทางหลักศาสนศาสตร์กับการให้ความสำคัญของการปฏิรูปศาสนาในเรื่องสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์และความพอเพียงของพระคริสต์

สถาบันวิจัยคริสเตียน (Christian Research Institute) ได้ให้คำอธิบายที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางศาสนศาสตร์อย่างรุนแรงของกระแสนี้ว่า “ศาสนาคริสต์กำลังเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนแปลงจากความเชื่อสู่ความรู้สึก จากข้อเท็จจริงสู่จินตนาการ และจากเหตุผลสู่การสำแดงอันลี้ลับ บรรดาผู้นำของ ‘การฟื้นฟูจอมปลอม’ (Counterfeit Revival) นี้ เช่น ร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์ และ จอห์น อาร์นอตต์ ได้สอดแทรกเรื่องที่กุขึ้น จินตนาการเพ้อฝัน และการหลอกลวงเข้าไปในคำเทศนาและการปฏิบัติของพวกเขา... ผู้ติดตามจำนวนมากที่ในตอนแรกได้หลั่งไหลเข้าไปยัง ‘ศูนย์กลางแห่งฤทธิ์อำนาจ’ ของการฟื้นฟูจอมปลอม บัดนี้ได้รู้สึกผิดหวังและได้หลุดลอยไปสู่ดินแดนของลัทธินอกรีต” (Christian Research Institute, 1999, หน้า 3) คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตของปัญหาในระดับโลก ว่าสิ่งที่เริ่มต้นจากความพยายามที่จะฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ กลับกลายเป็นความสับสนทางหลักคำสอนและความเสียหายด้านการอภิบาล ซึ่งปัจจุบันเห็นได้ชัดในเอเชียและประเทศไทยด้วยเช่นกัน

การวิเคราะห์จากองค์กรอีแวนเจลิคอลอิสระหลายแห่งได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ศาสนศาสตร์การฟื้นฟูของ ร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์ เป็นตัวเร่งให้เกิดปรากฏการณ์คาริสมาติกปลอม (Counterfeit Charismatic Manifestations) สถาบันวิจัยคริสเตียน (Christian Research Institute) ได้อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็น “การฟื้นฟูปลอม” (Counterfeit Revival) ซึ่งเน้นการควบคุมทางจิตวิทยาและการแพร่กระจายทางอารมณ์มากกว่าการฟื้นฟูตามหลักพระคัมภีร์ (Christian Research Institute, 1999) ในทำนองเดียวกัน SheepStrong Ministries ได้จัดให้ ฮาวเวิร์ด-บราวน์เป็นผู้สอนเท็จ เนื่องจากส่งเสริมแนวคิดเรื่อง “การเจิมแห่งไฟ (Fire Anointing)” ที่ถ่ายโอนได้ และมีมุมมองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไม่สอดคล้องกับหลักพระคัมภีร์ (SheepStrong, 2024) การประเมินเหล่านี้สอดคล้องกับข้อสรุปทางศานศาสตร์ในบทความนี้ แสดงให้เห็นว่าความบิดเบือนแบบเดียวกันได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในบริบทของคาริสมาติกเอเชียปัจจุบัน

นทึกอย่างเป็นทางการของ รีไววัล มินิสทรีส์ อินเตอร์เนชันแนล Revival Ministries International (RMI) ยืนยันว่า ร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์ ได้เดินทางมาจัดการประชุม “พระวิญญาณบริสุทธิ์และไฟ (Holy Ghost and Fire Gathering)” ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2019 โดยมีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมากและใช้คำศัพท์เดียวกันกับที่ใช้ในแทมปาและโตรอนโต เช่น “ไฟ” และ “ฤทธิ์เดช” การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้โครงการ Great Awakening Tour ของ RMI แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รูปแบบการฟื้นฟูของฮาวเวิร์ด-บราวน์ได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยโดยตรงหลายปีก่อนที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางศาสนศาสตร์ในปัจจุบัน (Revival Ministries International, 2019a, 2019b)

ความเชื่อมโยงระหว่างแทมปาและประเทศไทย และการก่อรูปของ “ขบวนการไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์”

รากเหง้าของขบวนการ “ไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” (Fire of the Holy Spirit) ในประเทศไทยมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับพันธกิจของ ร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์ และ รีไววัล มินิสทรีส์ อินเตอร์เนชันแนล เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์และพันธกิจของ นพ.วรุณ เลาหประสิทธิ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการนำแนวคิดและรูปแบบของการฟื้นฟูนี้เข้าสู่บริบทคริสตจักรไทย

นพ.วรุณได้ให้คำพยานสาธารณะว่า เขาและภรรยาเคยเข้าร่วมการประชุมฟื้นฟูของฮาวเวิร์ด-บราวน์ที่ คริสตจักรเดอะริเวอร์ แอท แทมปาเบย์ และสัมผัสได้ถึง “การทรงสถิตของพระเจ้าอย่างเป็นรูปธรรม” พร้อมเห็นผู้คนล้มลงเมื่อได้รับการอธิษฐาน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ตรงกับสิ่งที่เรียกว่า “การล้มลงในพระวิญญาณ” หลังจากประสบการณ์นั้น เขาเริ่มประกาศแนวคิดเรื่อง “ไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” และเน้นการ “วางมือ” เพื่อถ่ายทอดไฟฝ่ายวิญญาณ กลายเป็นลักษณะเด่นของการรับใช้ของเขาในประเทศไทย

ต่อมา เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2019 ฮาวเวิร์ด-บราวน์เดินทางมาจัดงาน Great Awakening Meeting ที่กรุงเทพฯ โดยมี นพ.วรุณ ทำหน้าที่เป็น ล่ามภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนถึงความสอดคล้องทางศาสนศาสตร์และความสัมพันธ์ในเชิงพันธกิจโดยตรง ระหว่างปี 2013–2014 นพ.วรุณได้จัดการประชุม “ไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” ในจังหวัดสงขลา และต่อมาในปี 2014 ได้ขยายการประชุม “ไฟแห่งการฟื้นฟู” มายังกรุงเทพฯ ในฐานะผู้รับใช้จาก คริสตจักรนิวโฮป อินเตอร์เนชันแนล เมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้ถ้อยคำและภาพลักษณ์ “ไฟ” แบบเดียวกับแนวทางของร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์

ความร่วมมือกับเครือข่ายแทมปายังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2025 คริสตจักรน้ำองุ่นใหม่ กรุงเทพฯ ได้จัดงานชื่อ “Camp” โดยมี โยชัว และ คริสเตน ฮัมฟรีย์ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐจาก รีไววัล มินิสทรีส์ อินเตอร์เนชันแนล และ และ คริสตจักรเดอะริเวอร์ แอท แทมปาเบย์ มาร่วมเป็นผู้รับใช้ ภาพจากเพจ Facebook ของคริสตจักรแสดงให้เห็นพฤติกรรมและคำศัพท์แบบเดียวกับที่ปรากฏในงานของ ร็อดนีย์ ฮาวเวิร์ด-บราวน์เช่น “ไฟ” “พระวิญญาณบริสุทธิ์” และการล้มลงเมื่อได้รับการอธิษฐาน ซึ่งยืนยันว่าการเชื่อมโยงระหว่างคริสตจักรน้ำองุ่นใหม่กับเครือข่ายการฟื้นฟูจากแทมปายังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน (คริสตจักรน้ำองุ่นใหม่ กรุงเทพฯ [โพสต์ Facebook], 2025)

ผลกระทบทางศาสนศาสตร์และคริสตจักร

วิกฤตการณ์ที่ปะทุขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2025 จึงมิได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลสะสมจากความสัมพันธ์และแนวปฏิบัติที่ดำเนินมากว่าทศวรรษ การอธิษฐานที่ทำให้ล้ม (การล้มลงในพระวิญญาณ) และการถ่ายทอด “ไฟ” กลายเป็นหัวใจของขบวนการที่สร้างความกังวลในหมู่คริสเตียนโปรเตสแตนต์ไทย โดยนักศาสนศาสตร์สายอีแวนเจลิคอลมองว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เป็น

โดยสรุป วิกฤตการณ์ในปัจจุบันเป็นปฏิกิริยาของคริสตจักรไทย ต่อ “ผลสุกงอม” ของขบวนการที่ นพ.วรุณ ได้วางรากฐานไว้มากว่าทศวรรษ โดยมี คริสตจักรน้ำองุ่นใหม่ กรุงเทพฯ เป็นตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของแนวคิด “ไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” ซึ่งมีต้นกำเนิดจากการฟื้นฟูของแทมปาและแพร่ขยายมาสู่ศาสนจักรไทยในปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2025 สถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ช่อง 7HD รายงานข่าวกรณี คริสตจักรน้ำองุ่นใหม่ กรุงเทพฯ ถูกกล่าวหาในประเด็นการหลอกลวงและพฤติกรรมไม่เหมาะสม พร้อมทั้งระบุว่าคริสตจักรนี้เป็น “ลัทธิแปลก” ที่มีความเชื่อเรื่อง “ผี” และ “ผีร้าย” ผสมอยู่กับคำสอนฝ่ายวิญญาณ (ข่าวช่อง 7HD, 2025) อดีตนักเรียนและผู้ปกครองได้ยื่นฟ้องคริสตจักรในข้อหาฉ้อโกงจากโครงการการศึกษาฟรีและการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายทางจิตใจ แม้ว่าคดีจะอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าความเบี่ยงเบนทางศาสนศาสตร์ได้ขยายตัวกลายเป็นวิกฤตทางสังคม คำสอนเรื่อง “ไฟแห่งพระวิญญาณ” และ “การล้มในพระวิญญาณ” ถูกสังคมไทยมองว่าเป็นลัทธิผีปีศาจ (Spiritism) มากกว่าคริสต์ศาสนา ซึ่งชี้ให้เห็นอันตรายของการผสมผสานทางศาสนศาสตร์ที่บิดเบือนจากพระคัมภีร์และความเชื่อโปรเตสแตนต์ดั้งเดิม

ข้อกังวลด้านการอภิบาลและวัฒนธรรม

ในประเทศไทยซึ่งเป็นบริบทที่มุมมองต่อโลกเกี่ยวกับภูติผี (Animistic) และวิญญาณ (Spiritist) ยังคงแพร่หลาย ปรากฏการณ์เหล่านี้จึงสอดคล้องกับแนวคิดท้องถิ่นในเรื่องการเข้าสิงของวิญญาณและการเผชิญหน้ากับสิ่งที่มีพลังอำนาจ (Saiyasak, 2025) แรงดึงดูดทางสังคมและวัฒนธรรมของสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ในทางศาสนศาสตร์กลับเป็นสิ่งหลอกลวง หากปราศจากการแยกแยะแล้ว การปฏิบัติเหล่านี้จะส่งเสริมให้เกิดการประสมประสานทางความเชื่อ (Syncretism) ซึ่งคือการหลอมรวมคำศัพท์ของคริสเตียนเข้ากับวิญญาณนิยมที่มาก่อนคริสต์ศาสนา (Pre-Christian spiritism) (Hosack, 2001)

แรงกดดันทางอารมณ์ให้ "ล้มลง" หรือ "รับไฟ" สามารถนำไปสู่การบงการทางจิตวิทยา (Psychological manipulation) และการทารุณกรรมทางจิตวิญญาณ (Spiritual abuse) ได้ ผู้นำที่อ้างว่า "ปลดปล่อยการเจิม (Release anointing)" กำลังใช้อำนาจควบคุมผู้ร่วมประชุมในลักษณะที่ไม่เป็นไปตามหลักการของพระคัมภีร์ โดย MacArthur (2013) ยืนยันว่า ในที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานอย่างแท้จริง พระองค์ทรงยกชูพระคริสต์ ทรงสร้างความเคารพต่อพระคัมภีร์ และส่งเสริมความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ความวุ่นวาย ดังนั้นสิ่งที่อาจเป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรม ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจปกป้องได้ทางศาสนศาสตร์และเป็นอันตรายทางจิตวิญญาณ

บทสรุป

จากการอ้างอิงงานวิจัยก่อนหน้าของผู้เขียน (Saiyasak, 2025) และธรรมเนียมของนิกายโปรเตสแตนต์ในวงกว้าง การศึกษานี้ยืนยันอีกครั้งว่าวิธีปฏิบัติ "การล้มลงในพระวิญญาณ" และ "ไฟ" นั้น ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ ผิดหลักศาสนศาสตร์ เป็นอันตรายต่อการอภิบาล และไม่สอดคล้องกับความเชื่อโปรเตสแตนต์ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักคำสอนถูกต้องดั้งเดิมของคริสเตียนที่มีมานานหลายศตวรรษ และการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ ทางศาสนศาสตร์ในศตวรรษที่สิบหก วิธีปฏิบัติเหล่านี้แทนที่การเป็นสาวกที่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางด้วยการแสดงที่มีประสบการณ์เป็นศูนย์กลางและลดทอนพระคัมภีร์ลงให้อยู่ใต้อารมณ์ความรู้สึก

แม้ว่าความทนทานของปรากฏการณ์เหล่านี้ในเอเชียจะสะท้อนถึงปัจจัยทางวัฒนธรรม ได้แก่ การเน้นอารมณ์รวมหมู่ (Collective emotionalism) พลวัตเรื่องเกียรติและความอับอาย (Honor-shame dynamics) และความเชื่อในเรื่องอำนาจที่มองไม่เห็นที่แพร่หลาย แต่ความสอดคล้องทางวัฒนธรรมก็ไม่เท่ากับความชอบธรรมตามหลักการพระคัมภีร์ ดังที่ Lloyd-Jones (1959) ประกาศไว้ว่า การฟื้นฟูนำไปสู่การกลับใจ ไม่ใช่ความไม่เป็นระเบียบ" ภารกิจของคริสตจักรไม่ใช่การขยายอารมณ์ความรู้สึก แต่คือการยกย่องพระคริสต์ผ่านความจริง ความบริสุทธิ์ และหลักคำสอนที่ถูกต้อง

ข้อเสนอแนะสำหรับการนำทางด้านการอภิบาล


บรรณานุกรม


เกี่ยวกับผู้เขียน

Author Photo

ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (ศาสตราจารย์ประจำสาขาศาสนศึกษาและศาสนศาตร์มิชชัน) (ไทย, ศิษยาภิบาลคริตจักร์แม่น้ำโขงโนนประเสริฐ) นักศาสนศาสตร์ และศาสนศาสตร์มิชชั่น จังหวัดอุบลราชธานี เป็นกรรมาธิการศาสนศาสตร์ และกรรมาธิการเสรีภาพทางศาสนา ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (Evangelical Fellowship of Thailand) และของสหกิจเอเชีย (Asia Evangelical Alliance) โดยมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาศาสนศาสตร์และความคิดริเริ่มด้านเสรีภาพทางศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดร. จันทร์สมร ยังดำรงตำแหน่งนักศาสนศาสเอเชียของสหกิจโลก (World Evangelical Alliance) ใน GA 2025 Theological Project ด้วย ด้วยประสบการณ์ด้านศาสนศาสตร์และการเป็นผู้นำกว่า 40 ปี ดร. จันทร์สมร ได้เป็นผู้นำและอาจารย์สอนที่สถาบันการศึกษาและศาสนศาสตร์คริสเตียน โครงการพัฒนาชุมชน และการก่อตั้งคริสตจักรในประเทศไทยและลาว ดร.จันทร์สมร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Doctor of Philosophy in Theology and Religious Studies ด้านศาสนศานตร์และศาสนศึกษา จาก Evangelische Theologische Faculteit (เบลเยียม) และปริญญาเอก Doctor of Ministry and Master of Divinity ด้านศาสนศาสตร์มิชชั่นจาก Mid-America Baptist Theological Seminary (สหรัฐอเมริกา) และ วิทยาศาสตรบัณฑิตสาขาศาสนา จาก Liberty University (USA) และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรการเป็นผู้นำขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard University มหาวิทยาลัยเยล Yale University และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด Oxford University พร้อมกันนี้ ดร.จันทร์สมร ยังรับใช้เป็นกรรมการและวิทยากรประจำขององค์กรต่างๆ เช่น SEANET Missiological Forum และ Lausanne Movement’s Worldplace, World Evangelical Alliance, และ Asian Society of Missiology

💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook

Page Views:

Conversion Tools